คุณย่าเหมยกุมมือคุณปู่หวังไว้แน่น น้ำตานองหน้า ท่านไม่อยากปล่อยมือจากคู่ครองที่อยู่กันมากว่า 50 ปี หน้าเตียงคนป่วยมีลูกชาย 3 คนยืนอยู่ คุณปู่นั่งพิงหัวเตียงมองพวกเขา หลังจากท่านสิ้นไป เงิน 5 แสนหยวน(2.5 ล้านบาท)จะเป็นของคุณย่าให้ท่านใช้เป็นค่าใช้จ่าย ส่วนเงินอีกหลายล้านหยวน (หลายพันล้านบาท)จะเป็นของลูกชายที่กตัญญูต่อแม่ที่สุด…
ฉากนี้เมื่อ 12 ปีที่แล้วตราตรึงอยู่ในสมองของคุณย่า แล้ววันนี้ก็ไม่แตกต่างจากวันนั้น ท่านยิ้มให้กับตัวเอง แค่เปลี่ยนคนป่วยเป็นท่านเองเท่านั้น เบื้องหน้าของท่านไม่ต่างจาก 12 ปีก่อน ลูกชายสามคนยืนอยู่หน้าท่าน ต่างจากตอนนั้นก็แค่พวกเขาน้ำตานองหน้า ท่านรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว แต่ต้องการทำตามคำสั่งของสามีที่บอกไว้ว่าจะมอบทุกอย่างให้กับลูกชายที่กตัญญูที่สุดต่อหน้าทนายให้เรียบร้อย คำพูดของสามีช่างศักดิ์สิทธิ์ ลูก ๆ ทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของท่านมีความสุขมาก
คุณย่าและคุณปู่รู้จักกันสมัยที่บ้านเมืองวุ่นวายร้อนเป็นไฟ ตอนนั้นคุณปู่ต้องไปเป็นทหาร แต่ได้รับบาดเจ็บ คุณย่าไปเจอเข้าพอดี ก็เลยเอาคุณปู่ไปซ่อนไว้บนเขาเพื่อซ่อนจากสายตาของทหารฝ่ายตรงข้าม
หลังจากบาดแผลของคุณปู่หายดี ท่านทั้งสองก็รักกันแต่งงานมีลูก มีชีวิตที่สุขสงบในหมู่บ้านเล็กๆ จนถึงช่วงปลายยุค 70 มีถนนตัดผ่านเข้ามา ชีวิตของคนเมืองก็มาถึงหมู่บ้านแห่งนั้น คุณปู่วัย 60 รับมือกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงโดยการจูงมือภรรยาและลูกชาย 3 คนออกมาเผชิญหน้ากับมัน
หลังจากความพยายามกว่า 20 ปีในที่สุดครอบครัวของพวกเขาก็มีบริษัมที่มีมูลค่ามากกว่ามากมาย แต่สุขภาพของคุณปู่ก็แย่ลงตามกาลเวลา ก็เลยมอบบริษัทให้ลูกชายคนที่สองที่มีความสามารถดูแล
ลูกชายคนที่สองได้รับการดูแลไว้วางใจจากคุณปู่มากที่สุด ทำให้ลูกชายคนแรกและคนสุดท้องไม่พอใจ ที่บริษัทอยู่ในความดูแลของลูกชายคนที่สอง ก็เลยทำทุกทางเพื่อขัดขวางลูกคนที่สอง จนผ่านไป 4 ปีบริษัทก็เริ่มมีปัญหา
คุณปู่ก็เห็นว่าบริษัทต้องพังทลายไปต่อหน้าในมือลูกชายแน่ๆ ท่านต้องขายบ้านในเมืองเพื่อเอามาใช้หนี้ส่วนหนึ่ง แล้วก็ขายบริษัทต่อให้คนอื่นไป คุณปู่ต้องยอมทรมานใจเดินออกมาจากบริษัทที่เคยเป็นของตัวเอง จูงมือภรรยากลับมาอยู่ที่หมู่บ้านที่เคยอยู่ สุขภาพก็แย่ลงเรื่อยๆ คุณย่าต้องการส่งคุณปู่ไปโรงพยาบาล แต่คุณปู่ก็ไม่อยากสิ้นเปลืองเงิน จนก่อนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต คุณปู่ก็ให้ทนายมาทำพินัยกรรม เพื่อวางแผนให้ลูกๆหลานๆดูแลคุณย่าอย่างดี
หลังจากคุณปู่สิ้น คุณย่าก็ยังคงอยู่ที่หมู่บ้านเหมือนเดิม ลูกชายคนโตจ้างคนมาดูแลคุณย่า ลูกชายคนที่สองออกเงินซ่อมบ้านให้ท่านใหม่ ลูกคนสุดท้องซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์ใหม่เข้าบ้าน
แม้ว่าพวกเขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมือง แต่ไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหน ทุกสุดสัปดาห์พวกเขาก็จะต้องมาหาคุณย่า ไม่ว่าเทศกาลไหนๆก็จะต้องมาอยู่เป็นเพื่อนท่าน ครอบครัวครึกครื้น ทำให้คุณย่าไม่เคยเหงาเลย
คุณย่ามีของกินของใช้ไม่เคยขาดมือ เห็นครอบครัวพร้อมหน้า ก็มีความสุข เงินที่คุณปู่ทิ้งไว้ให้ 5 แสนหยวน (ประมาณ 2.5 ล้าน) ก็ไม่เคยได้ใช้ นอกจากเอาไว้แจกเป็นแต๊ะเอียให้ลูกๆหลานๆ
11 ปีผ่านไปเร็วเหมือนติดปีก ลูก ๆ หลาน ๆ ช่วยกันฉลองวันเกิดปีที่ 90 ให้ท่าน แต่ต่อมาไม่นานคุณย่าก็ป่วยจนต้องไปโรงพยาบาล คุณหมอตรวจพบว่าท่านเป็นโรคมะเร็ง ตอนแรกทุกคนช่วยกันปิดบังไม่ให้ท่านรู้ คุณย่าอยู่โรงพยาบาลได้สองเดือนก็ยืนยันว่าต้องการกลับบ้าน ลูกหลานก็ผลัดกันมาดูแลท่าน จากนั้นท่านก็จากไปอย่างสงบ ลูกชายทั้งสามโศกเศร้าเสียใจที่เหมือนสูญเสียหลักในใจ ตามความต้องการของคุณย่า งานศพถูกจัดขึ้นอย่างเล็กๆ ไม่ได้เชิญคนมาร่วมงานสักเท่าไหร่ หลังงานศพลูก ๆ ทั้งสามก็ต่างกลับบ้านตัวเอง ไม่มีใครสนใจสมบัติตามพินัยกรรมคุณปู่ ที่มีเนื้อหาว่า.. คุณปู่ทิ้งมรดกไว้ให้ 6 ล้านหยวน (30 ล้านบาท) ถ้าคุณย่าสามารถมีชีวิตได้อีกเกิน 10 ปี ทุกคนจะได้รับเงินคนละ 2 ล้านหยวน (10 ล้านบาท) ถ้าลดไปปีนึง ก็ลดลงปีละ 1 ล้านหยวน (5 ล้านบาท) ถ้าคุณย่ามีอายุต่อไปไม่ถึง 5 ปี เงิน 6 ล้านหยวนก็จะถูกบริจาคให้การกุศล
คุณปู่ทำพินัยกรรมไว้อย่างนี้ก็เพื่อให้ลูก ๆ ทั้งสามคนตั้งใจดูแลแม่ แต่หลังท่านเสีย แม้ว่าทุกคนจะได้รับคนละ 2 ล้านหยวน แต่ก็ไม่มีใครมีรอยยิ้ม เมื่อคุณย่าสิ้น พวกเขาโศกเศร้าเสียใจ รู้สึกเหมือนเป็นคนไร้บ้าน
จากการอยู่เป็นเพื่อนคุณย่ามา 12 ปี ทำให้พวกเขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคำว่าบ้าน ตอนที่คุณย่าจากไป พวกเขาก็กลายเป็นคุณปู่กันหมดแล้ว ชื่อเสียงเงินทองไม่สำคัญอีกต่อไป วันนี้คุณค่าของพี่น้องสำคัญที่สุด
Cr : http://www.siamdrama.com/view-5343.html